ชวนทำความรู้จักการเหยียดเพศแบบเนียนๆ ที่เรียกว่า “Benevolent Sexism” และไขข้อสงสัยว่าทำไมเฟมินิสต์ไม่อินกับการลุกให้ผู้หญิงนั่งบนรถไฟฟ้า
ในการถกเถียงกันเรื่องประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ คำว่า ‘Male Privilege’ ก็มักจะถูกยกขึ้นมาพูดด้วยบ่อยครั้ง โดยคำนี้มักหมายถึงสิทธิพิเศษของเพศชายที่เพศอื่นไม่มีหรือมีน้อยกว่าเช่น
- โอกาสการก้าวหน้าในอาชีพการงานโดยความเชื่อว่าเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
- สังคมไม่คาดหวังให้ทำงานบ้านหรือเลี้ยงลูกโดยความเชื่อว่าเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
- โอกาสในการถูกคุกคามทางเพศน้อยกว่าผู้หญิงมากโดยความเชื่อว่าเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
- ผู้คนมักให้เกียรติและเคารพโดยความเชื่อว่าเป็นผู้นำตามธรรมชาติ
- การพูดและกระทำที่ใช้ความรุนแรงมักถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ
ในการเคลื่อนไหวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศแต่ละครั้งก็มักชี้ให้เห็นถึง Male Privilege เหล่านี้ แต่ในหลายครั้งก็มักมีการถกเถียงว่า ถ้าหากเพศชายมีสิทธิพิเศษแล้ว ผู้หญิงเองก็มีส่วนตรงข้ามเป็น ‘Female Privilege’ ด้วยไหม ตัวอย่างเช่น เพศหญิงมักได้รับความช่วยเหลือหรืออนุโลมมากกว่า มีคนลุกให้นั่งบนรถไฟฟ้า มีคนถือกระเป๋าให้ หรือได้รับความเห็นใจมากกว่าเพศชาย เป็นต้น
ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถยกคำว่า Female Privilege ขึ้นมาเป็นขั้วตรงข้ามของ Male Privilege ได้ เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นข้อดีที่ผู้หญิงได้รับนั้นล้วนมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่า “ผู้หญิงอ่อนแอกว่า มีสถานภาพเป็นรองจากผู้ชาย” ทั้งสิ้น จะเห็นได้จากความช่วยเหลือ ความเห็นใจต่าง ๆ ที่ผู้หญิงได้รับนั้น เป็นสิ่งที่สังคมกำหนดให้ “ผู้ชายในฐานะผู้แข็งแกร่งกว่า” มอบให้ “ผู้อ่อนแอกว่า” และยังเป็นการช่วยเหลือชั่วครั้งชั่วคราว ที่ไม่ได้สนับสนุนให้ผู้หญิงมีสิทธิมีเสียงในสังคมในระดับโครงสร้าง
สิ่งที่สังคมมักมองว่าผู้หญิงมีลักษณะที่ดีกว่าผู้ชายก็อาจถูกมองว่าเป็น Female Privilege ได้เช่นกัน เช่น ใจดีกว่า อ่อนโยนกว่า ลายมือสวยกว่า รับฟังมากกว่า พูดน่าฟัง มีเสน่ห์กว่า ถ้าหากจะหาคนที่มีคุณลักษณะทางบวกเหล่านี้คนส่วนใหญ่ก็มักจะมองไปที่ผู้หญิงก่อน ดูเผิน ๆ อาจเป็นเรื่องดีสำหรับผู้หญิงก็จริง แต่คุณลักษณะที่กล่าวมามักถูกมองว่าเหมาะกับการเป็นผู้ตาม ผู้สนับสนุน หากนายจ้างจะเลื่อนขั้นลูกน้องสักคน และนายจ้างคนนั้นไม่ตระหนักต่อความเชื่อที่ว่าเพศ xxx คือผู้นำตามธรรมชาติ นายจ้างคนนั้นก็อาจเลือกใครสักคนเพราะมองว่าเพศชายเป็นเพศที่ดูมีเหตุผล มีความเป็นผู้นำ และทะเยอทะยาน หรือถ้าหากผู้หญิงสามารถโดดเด่นกว่าผู้ชายขึ้นมาได้ สังคมก็มักจะตั้งคำถามว่าเธอขึ้นมาได้ด้วยความสามารถหรือมาจากเรื่องฉาวๆคาวๆ เป็นต้น
ลักษณะของ Privilege ของหญิงและชายยังแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง Male Privilege นั้นครอบคลุมไปถึงทุกด้านของสังคมและประวัติศาสตร์ ทั้งอำนาจการตัดสินใจ อิสระในการใช้ชีวิต พื้นที่ในการแสดงออก และสังคมยังมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่ผู้ชายจะทำสิ่งที่มีความเสี่ยง(และในทางกลับกันคือได้ผลตอบแทนจากความเสี่ยงนั้นๆในฐานะผู้กล้าหาญ) ในขณะที่ (สิ่งที่เรียกกันว่า) Female Privilege นั้นมีขอบเขตที่แคบกว่ามาก เป็นเพียงความเห็นใจเพียงเล็กน้อยและตอกย้ำค่านิยมว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอและไม่ควรเป็นผู้ตัดสินใจ มาใช้เป็นคำที่มีความหมายตรงข้ามกันได้
เมื่อมีข้อถกเถียงเช่นนี้ ข้อเสียเปรียบของผู้ชายก็มักถูกยกขึ้นมาสนับสนุนว่า แต่ผู้ชายมักไม่ได้รับความเห็นใจหากตกเป็นเหยื่อของการคุกคามทางเพศนะ หรือถูกสังคมดูถูกเหยียดหยามหากผู้หญิงเป็นฝ่ายหาเลี้ยงครอบครัว บ่อยครั้งก็ถูกนำมาล้อเลียนขำขันเป็นมุกตลกด้วยซ้ำเป็นต้นนะ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง และสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มีที่มาจากอภิสิทธิของเพศหญิง แต่มาจากความเป็นชายที่เป็นพิษ (Toxic Masculinity) ที่สังคมคาดหวังให้เพศชายเป็นช้างเท้าหน้า และแข็งแกร่งกว่าผู้หญิงเสมอ
การที่ผู้ชายถูกกระทำในเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้มีที่มาจากผู้หญิงเป็นใหญ่ แต่มาจากสังคมที่คาดหวังให้ผู้ชายเป็นใหญ่ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามนั้นจึงหันไปดูถูกผู้ชาย อันที่จริงแล้วสิ่งนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าความเป็นชายที่สังคมกำหนดนี้ไม่ได้ทำร้ายแค่ผู้หญิง แต่ยังทำร้ายผู้ชายที่ไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคมอีกด้วย
แล้วถ้าค่านิยมที่ทำให้ผู้หญิงได้รับความเห็นใจเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ Female Privilege ถ้าอย่างนั้นมันคืออะไรกันแน่?
คำว่า Benevolent Sexism น่าจะสื่อออกมาได้ใกล้เคียงกับความหมายของ Female privilege ได้มากที่สุด โดย Benevolent Sexism เป็นการเหยียดเพศที่แสดงออกมาในเชิงบวก เช่น “ผู้หญิงมีสัญชาติญาณความเป็นแม่” “ผู้หญิงมีรูปลักษณ์สวยงามกว่าผู้ชาย” “ผู้หญิงมีระเบียบกว่าโดยธรรมชาติ” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีสำหรับผู้หญิง แต่ก็มีพื้นฐานมาจาก Sexism (การเหยียดเพศและจำกัดกรอบว่าเพศไหนควรทำอะไร ควรเป็นอย่างไร) และไม่ได้เทียบเท่ากับ male privilege เลย
สรุป
ผู้หญิงมีบางเรื่องที่ได้เปรียบผู้ชายจริง แต่ไม่สามารถเรียกว่า Female privilege ได้ เพราะขอบเขตอำนาจของข้อได้เปรียบเหล่านั้นแคบกว่า Male privilege มาก การเรียกว่า Benevolent sexism แทนจึงเป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการเหยียดเพศ และทำให้สังคมตระหนักได้ดีกว่าคำว่า female privilege ที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของคำว่า Male privilege
ผู้เขียน: นางสาวนภหทัย สิทธิฤทธิ์
ผู้บรรณาธิการ: นางสาวพิชญพร ฤทธิ์คัมภีร์
ภาพประกอบ: พัชราคำ นพเคราะห์
แหล่งอ้างอิง
https://finallyfeminism101.wordpress.com/2008/02/09/faq-female-privilege/
https://medium.com/fearless-she-wrote/yes-we-know-female-privilege-exists-549331cb60c8
https://blogs.scientificamerican.com/psysociety/benevolent-sexism/