“ผู้ชายไม่เจอหรอก” คุณอาจเคยพูดประโยคพวกนี้ก็ได้
เรามักจะคิดว่าผู้ชายเป็นกลุ่มที่ไม่โดนล่วงละเมิดทางเพศ เพราะสังคมมองว่าความเป็นชายคือการมีพละกำลังและความต้องการทางเพศตลอดเวลา … รู้หรือไม่ว่า ผู้ชายที่ถูกละเมิดก็คิดแบบนี้เช่นกัน พวกเขาจึงเก็บเรื่องพวกนี้ไว้กับตัวเอง และคิดว่ามันคงไม่เกิดขึ้นกับคนอื่น
“ผู้ชายไม่โดนหรอก”
“คนแมนๆที่ไหนจะคิดแบบนี้กัน”
“เขาก็ดูยังโอเคดีนี่นา”
… หลายๆคนอาจจะคิดแบบนี้
ในบางกรณี ผู้คนรอบตัวไม่แม้แต่จะเชื่อว่าเขาโดนละเมิดจริงๆด้วยซ้ำ และอาจถูกซ้ำเติมด้วยการตั้งคำถามถึง “ความเป็นชายแท้” และ “ถูกเมินเฉย” เพราะคิดว่าผู้ชายไม่เสียหาย โชคดีซะอีก!
ความกดดันจึงเกิดขึ้นทั้งจากภาพจำของสังคม และอาจจะเกิดพร้อมๆกับความบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม
สิ่งเหล่านี้นี่เองที่เป็นอุปสรรคต่อการก้าวข้ามไปสู่ชีวิตที่เชื่อมั่นในตนเอง ทั้งที่จริงๆแล้วสามารถทำได้ ถ้าเรามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงและอยากจะทำให้มันดีขึ้น เราก็ต้องร่วมกันเปลี่ยนแปลง
หมายเหตุ : คำว่าล่วงละเมิดทางเพศในบทความนี้เป็นคำเรียกรวมๆ ซึ่งอาจจะมีเฉดที่หนักเบาต่างกันไป จะแทนที่ด้วย เพศสัมพันธ์ที่ไม่ Consent ก็ได้ / เพศสัมพันธ์ที่ไม่วินวินกับทุกฝ่ายก็ได้ / เพศสัมพันธ์แบบไม่สมัครใจก็ได้ / เพศสัมพันธ์แบบไม่มีอำนาจในการตัดสินใจก็ได้ ฯลฯ
มาเช็คประเด็นสำคัญกันก่อน :
- ผู้ชายทุกคนมีโอกาสถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือมีเพศสัมพันธ์ไม่พึงประสงค์ มันไม่เกี่ยวว่าจะแมนมากน้อยขนาดไหน มีบุคลิกยังไง
- เมื่อมีอาการตอบสนองต่อการถูกกระตุ้นทางเพศ ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากให้มันเกิดขึ้น และหากมันเกิดขึ้นจากการละเมิด ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ
- การล่วงละเมิดไม่ส่งผลดีต่อคนทุกเพศ
- รสนิยมทางเพศของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แทนที่จะตั้งคำถามว่าใครเป็นเพศอะไร เราควรโฟกัสว่ามีเรื่องไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่ง และมันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น
- บางครั้งคนที่ลงมือก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศไม่ใช่คน “โชคดี” เพราะพวกเขาไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้น
- บางครั้งสังคมก็มีภาพจำที่ผิด ว่าผู้ชายที่เคยถูกละเมิดจะเกิดปมในใจและนำไปสู่การละเมิดคนอื่นต่อ แต่จริงๆแล้วคนส่วนมากที่เคยถูกละเมิดไม่ได้ทำอย่างนั้นนะ
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 1 – แมน vs ไม่แมน, คนแมนๆ ไม่เสียหาย
เราซึมซับคำพูดประมาณว่า “ผู้ชายไม่มีอะไรเสียหาย” มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และมันส่งผลให้เราเชื่อลึกๆด้วยว่าคนที่รู้สึกไม่ดีกับการถูกฝืนใจจะมีความเป็นชายที่บกพร่อง สังคมของเราคาดหวังให้ผู้ชายทุกคนปกป้องตัวเองได้ทั้งในเชิงอารมณ์และร่างกาย และเรียกคุณลักษณะเหล่านี้ว่า “ความแมน”
ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับความหมายของคำว่า “แมนๆ” หรือไม่ ความแมนตามนิยามนี้แหละที่ทำให้หลายๆคนต้องเก็บเงียบ และพลาดโอกาสได้รับความช่วยเหลือไป
จริงๆแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตไม่สามารถลดทอนคุณค่าความเป็นชายของพวกเขาได้ คุณอาจหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน Other Guys Like Me ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จะแสดงให้เห็นว่ามีคนอีกหลายๆคนเคยประสบเรื่องเหล่านี้และสามารถก้าวข้ามมันมาได้
สำหรับแนวโน้มในประเทศไทย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลระบุว่าการล่วงละเมิดทางเพศในผู้ชายมีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้น สังคมจึงควรเร่งสร้างความเข้าใจและสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้มากขึ้นด้วย
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 2 – จู๋แข็ง แปลว่าเขาชอบ และต้องร่วมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
“ผู้ชายน่ะ ถ้าถูกข่มขืนจะไม่มีอารมณ์ จู๋ไม่ตั้ง”
เคยได้ยินประโยคนี้ไหม?
ผู้ชายและเด็กผู้ชายหลายคนเชื่อคำพูดนี้ และพวกเขาจะรู้สึกแย่มากเมื่อร่างกายของตนแสดงปฏิกิริยาตอบสนองในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ไม่พึงประสงค์ ทั้งๆที่ ผู้ชายอาจมีอวัยวะเพศที่แข็งและเสร็จในขณะที่ถูกละเมิดได้ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงและเจ็บปวดมากๆ มันเป็นเพียงกระบวนการทางร่างกายและสมองเท่านั้น
ผู้ลงมือละเมิดส่วนมากจะทราบเรื่องนี้ดีและใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการบังคับให้ได้ทำ
เช่น พูดว่า “ชอบล่ะสิ” “อย่าปฏิเสธไปเลย ร่างกายของนายตอบสนอง” “จะโกหกตัวเองทำไม”
ย้ำอีกครั้ง การแข็ง การรู้สึกเสียวระหว่างร่วมเพศ หรือการเสร็จ ไม่ได้แปลว่าพวกเขามีความสุขหรือต้องการมัน ผู้ถูกกระทำโดยเฉพาะเด็กมักถูกเกลี้ยกล่อมให้เกิดความเชื่อที่ผิด ก่อให้เกิดเป็นความสับสนในจิตใจ และอาจเกิดความรู้สึกผิดในภายหลังที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ (ซึ่งมันคุมไม่ได้ และมันไม่ใช่สัญญาณชักชวนให้ทำเสมอไป)
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 3 – ผู้ชายเสียใจน้อยกว่าผู้หญิง
บาดแผลระยะยาวเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ขึ้นอยู่กับ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผู้กระทำเป็นใคร เพศสัมพันธ์ไม่พึงประสงค์นี้กินเวลานานขนาดไหน ต้องเก็บเป็นความลับขนาดไหน และเมื่อขอความช่วยเหลือหรือระบายกับผู้อื่น มีคนเชื่อ รับฟัง จริงจังกับเรื่องของเขาและพร้อมช่วยเหลือหรือไม่
สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อจิตใจมากกว่าเพศสภาพ
ความเจ็บปวดอาจเกิดจากจากการถูกเมินเฉย โดยเฉพาะเมื่อเป็นคนที่ควรจะเชื่อเขาและช่วยเขาได้
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 4 – ผู้กระทำผิดมักเป็นพวกรักร่วมเพศ
ไม่มีสถิติระบุว่าการมีรสนิยมรักร่วมเพศจะชักนำไปสู่การละเมิดได้มากกว่าเพศอื่นๆ ในบทความนี้ย้ำหลายรอบว่ารสนิยมทางเพศไม่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ การล่วงละเมิดก็คือการล่วงละเมิด ไม่ใช่ความสัมพันธ์ทางเพศ (But sexual abuse is not a sexual “relationship,” – it’s an assault.)
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 5 – ผู้ชายที่ถูกผู้ชายละเมิดจะถูกทำให้เป็นเกย์ ถ้าตอนนี้ไม่เป็นก็ต้องเป็นในอนาคตแน่ๆ
ความจริงคือ ไม่มีหลักฐานดีๆ ระบุว่าเราสามารถ “เปลี่ยน” ให้ใครสักคนเป็นคนที่รักเพศเดียวกันหรือรักร่วมเพศได้ พฤติกรรมทางเพศเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่มีคำตอบเดียวในการอธิบายว่าทำไมเขาจึงมีรสนิยมเช่นนั้น
ผู้ชายที่ชอบผู้หญิงบางคนกลัวว่าการถูกผู้ชายละเมิดจะทำให้ตัวตนของเขาเปลี่ยนไป หรือกลัวว่าตนได้สูญเสียความเป็นชาย เลยมักเก็บซ่อนเรื่องที่ตนถูกล่วงละเมิดเอาไว้
ส่วนผู้ชายที่เป็นเกย์หรือเป็นไบบางคนก็ไม่มั่นใจว่ารสนิยมทางเพศของตนมีผลมาจากการถูกล่วงละเมิดในอดีตหรือไม่ ทั้งที่จริงๆแล้ว คนคนหนึ่งมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นและนิยามตัวเองว่าเป็นเกย์แม้จะไม่ถูกละเมิด
ความเชื่อข้อนี้ควรถูกทบทวนใหม่ เพื่อเอื้อให้ผู้ชายได้เข้าถึงการปรับทุกข์ที่จริงจัง และนำไปสู่ความช่วยเหลือในอนาคต
ความเชื่อผิดๆ ข้อ 6 – ผู้ชายที่ถูกผู้หญิงล่วงละเมิดนี่โชคดีจริงๆ
ความเชื่อนี้คล้ายกับข้ออื่นๆ ตรงที่เกิดจากภาพจำต่อ “ความเป็นชาย” ที่เราเรียนรู้มาจากสังคม
ขออนุญาตบอกอีกครั้งว่า ความสับสนนี้เกิดจากการโฟกัสที่ “เพศและสถานะของผู้กระทำ” มากกว่าข้อเท็จจริงที่ว่า “นี่คือการล่วงละเมิดทางเพศ / นี่ไม่ Consent / นี่ไม่ใช่เพศสัมพันธ์ที่วินวินกับทุกฝ่าย”
ในความเป็นจริง การล่วงละเมิดทางเพศไม่เคยสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้แก่ใคร ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นโดย แฟน พี่สาว เพื่อนพี่ เพื่อน พี่เลี้ยง เพื่อนบ้าน ป้า แม่ ครู เจ้านาย รุ่นพี่ หรือผู้หญิงที่มีอำนาจมากกว่าผู้ชาย อย่างน้อยมันได้สร้างความสับสน ความรู้สึกไม่ปลอดภัย และมันทำร้ายความเชื่อมั่นของคนคนนั้นในระยะยาว
การถูกล่วงละเมิดและถูกใช้เป็นวัตถุทางเพศไม่ว่าโดยคนเพศไหนก็ตาม เป็นเรื่องที่ไม่โอเค
สรุปแล้ว เพศสัมพันธ์กับเพศไหนๆ ก็ต้องมี Consent
- Consent คือการยินยอมของทุกๆฝ่าย มีอิสระในการตัดสินใจ มีอิสระในการต่อรอง มีอิสระในการสื่อสารความรู้สึกของตนเอง และมีอิสระในการหยุดกิจกรรมที่ได้ดำเนินไปแล้ว
- ผู้ชายก็อาจจะเจอประสบการณ์ทางเพศที่ไม่พึงประสงค์ แล้วเวลาพวกเขามีปัญหา เขาก็ปรารถนาให้คนรอบข้างหรือคนที่ไว้ใจจะช่วยรับฟังเขาอย่างจริงจัง
- สังคมที่เราอยากเห็น จึงเป็นสังคมที่คนทุกเพศมีอิสระในการตัดสินใจ มีความเป็นธรรมทางเพศ มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนทุกคนเข้าถึงการแก้ปัญหา และ มีความเข้าอกเข้าใจกันมากขึ้น
- ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ติดค้างในใจสามารถก้าวข้ามได้เสมอ อาจจะใช้เวลา และความเข้าใจภายในของตัวเองสูง แต่มันเปลี่ยนได้จริงๆนะ
ต้นฉบับ อ้างอิงจาก : Adapted and expanded from an online piece by Ken Singer. https://1in6.org
แปลโดย : Nattanan W, nanaaa